พัฒนาโปรแกรมยังไงให้คุ้มค่า เขียนโปรแกรม VS Low-Code VS โปรแกรมสำเร็จรูป

การพัฒนาโปรแกรมในปัจจุบันมีหลากหลายวิธีให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นการจ้างโปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรม การทำ Low-Code หรือ การซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป โดยแต่ละวิธีล้วนมีข้อดี ข้อจำกัด และความเหมาะสมแตกต่างกันไป แต่การพัฒนาโปรแกรมแบบไหนล่ะ ที่จะตอบโจทย์กับธุรกิจของคุณและคุ้มค่าที่จะลงทุนจริง ๆ ?

การเลือกวิธีพัฒนาโปรแกรมที่เหมาะสมกับธุรกิจเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ต้นทุน และความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจในระยะยาว โดยปัจจุบันการทำ Low-code กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก หลายองค์กรพิจารณาลดค่าใช้จ่ายจากการซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป รวมถึงลดการจ้างงานโปรแกรมเมอร์ พร้อมให้พนักงานเริ่มทำ Low-Code ด้วยตัวเอง เพื่อช่วยพัฒนาโปรแกรมมาใช้งานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

แต่ในการทำงานจริง ๆ เราควรใช้ Low-Code เป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาโปรแกรมทั้งหมดของบริษัทหรือไม่ ?

เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อ -
เลือกอย่างไรดี ? ระหว่างจ้างเขียนโปรแกรม ทำ Low-Code หรือ ซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป
จ้างเขียนโปรแกรม สำหรับโปรแกรมที่ทำให้ลูกค้าใช้ หรือ ระบบนั้นเป็นจุดขายหลักของธุรกิจ
ซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป สำหรับโปรแกรมพื้นฐานของบริษัท ที่ต้องการความแม่นยำและใช้ทันที

ทำไมเราถึงไม่ควรใช้ Low-Code ทำ Application อย่างเดียว ?

การทำ Low-Code ใช้เวลา และงบประมาณมากเกินจำเป็น หากมีโปรแกรมสำเร็จรูปที่เหมาะสมอยู่แล้ว

หากมีความต้องการที่ไม่ซับซ้อนและมีโปรแกรมสำเร็จรูปที่ตอบโจทย์อยู่แล้ว การใช้ Low-Code อาจทำให้เสียเวลาและงบประมาณมากกว่า เพราะต้องใช้งบประมาณฝึกสอนพนักงานให้ใช้ Low-Code เป็น และต้องรอเวลากว่าพนักงานจะพัฒนา Low-Code เสร็จถึงจะได้พร้อมใช้งาน

การทำ Low-Code ทำให้เสียความสามารถในการแข่งขัน ในกรณีที่โปรแกรมนั้น ๆ จะกลายเป็น Core หลักของธุรกิจ

หากธุรกิจต้องพึ่งพาฟังก์ชันเฉพาะทาง หรือ นวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น AI การใช้ Low-Code จะจำกัดความสามารถในการพัฒนาฟีเจอร์เหล่านั้น เพราะขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์ม Low-Code ว่าจะรองรับหรือไม่ และปรับแต่งได้มากน้อยเพียงใด ทำให้เสียเปรียบคู่แข่งที่มีทีมพัฒนาเป็นของตัวเอง

การทำ Low-Code มีความเสี่ยงในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย 

แม้แพลตฟอร์ม Low-Code จะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี แต่หากผู้ใช้งานขาดความเชี่ยวชาญ หรือ ขาดความรู้เรื่อง Cyber Security ก็อาจทำให้ Application ไม่ปลอดภัยได้เช่นกัน เช่น การแชร์ Application แบบอิสระ ทำให้ใครก็ตามที่มีลิงก์สามารถเข้าถึงข้อมูลความลับของบริษัทได้ ดังนั้น แนะนำว่าควรศึกษาเกี่ยวกับ Low-Code/No-Code Security ไว้ด้วยจะดีที่สุด

สนใจเรียน AppSheet กับเรา ?

ไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้ AppSheet ด้วยตัวเอง เพียงแค่เรียนคอร์ส AppSheet Intensive Course ผ่าน Facebook Group กับเรา พร้อมให้คำปรึกษาหลังเรียน

เลือกอย่างไรดี ? ระหว่างจ้างเขียนโปรแกรม ทำ Low-Code หรือ ซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป

วิธีการเลือกพัฒนาโปรแกรมจะต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ราคา ระยะเวลา ความสามารถในการปรับแต่ง โดยสามารถสรุปจุดเด่นเพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาโปรแกรมทั้งสามรูปแบบได้ ดังนี้

  1. จ้างเขียนโปรแกรม: ราคาสูง ใช้เวลาถึง 6 เดือน – 1 ปี มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง สามารถเพิ่มเติมได้ตามต้องการ
  2. ซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป: ราคาถูกกว่ารูปแบบอื่น สามารถใช้งานได้ทันที แต่ไม่สามารถปรับแต่งได้
  3. ทำ Low-Code: สะดวก ใช้เวลาปรับแต่งให้ตรงความต้องการประมาณ 1 เดือน

จ้างเขียนโปรแกรม สำหรับโปรแกรมที่ทำให้ลูกค้าใช้ หรือ ระบบนั้นเป็นจุดขายหลักของธุรกิจ

โดยการจ้างเขียนโปรแกรม คือ การพัฒนาโปรแกรมใหม่ทั้งหมด เหมือนการสั่งทำสินค้าเฉพาะตามความต้องการ (Custom Made) จึงทำให้ได้โปรแกรมใหม่ที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของธุรกิจ ตั้งแต่การกำหนดขอบเขตของโปรแกรม การออกแบบระบบ ไปจนถึงการพัฒนาและทดสอบจริง โดยจะใช้ระยะเวลา 4 เดือน ถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับความยากง่าย ที่ต้องประเมินโดยทีมโปรแกรมเมอร์

อย่างไรก็ตาม การจ้างเขียนโปรแกรมเป็นของตัวเองนั้น จะมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าเช่า Server ค่า Domain Name หรือ ชื่อ URL ของเว็บไซต์ รวมถึงค่าจ้างโปรแกรมเมอร์เพื่อพัฒนา และดูแลระบบอย่างต่อเนื่อง

ข้อดีของการจ้างเขียนโปรแกรม

การจ้างเขียนโปรแกรมสามารถควบคุมการทำงานของโปรแกรมใหม่ได้อย่างเต็มที่

เพราะการจ้างเขียนโปรแกรมสามารถควบคุมได้ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการใช้งาน เช่น การออกแบบอินเทอร์เฟซ (User Interface, UI) การทำงานของระบบ การทดสอบและปรับปรุง 

การจ้างเขียนโปรแกรมสามารถออกแบบโปรแกรมใหม่ให้ตรงตามความต้องการได้

การจ้างเขียนโปรแกรมสามารถออกแบบให้ระบบตอบโจทย์กับกระบวนการทำงานขององค์กรได้ เพื่อให้รองรับการทำงานของเราโดยเฉพาะ ทั้งยังสามารถพัฒนาระบบได้ตรงตามความต้องการของธุรกิจอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้เข้ากับโปรแกรม อย่างการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป 

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออกอาหารแช่แข็ง ซึ่งอาจมีขั้นตอนการทำงานที่ต่างจากคู่แข่ง หรือ ธุรกิจในหมวดเดียวกัน ทำให้คุณไม่สามารถซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้งานได้ จึงจำเป็นต้องจ้างโปรแกรมเมอร์มาเขียนโปรแกรมให้

การจ้างเขียนโปรแกรมมีความยืดหยุ่นสูง จึงสามารถปรับแต่งและขยายระบบในอนาคตได้

โปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นและออกแบบมาโดยเฉพาะสามารถปรับปรุงและต่อยอดให้มีฟังก์ชันการทำงานที่เท่าทันกับเทคโนโลยีในอนาคตได้ ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการเพิ่ม Chatbot เพื่อตอบข้อสงสัยของลูกค้าที่สอบถามข้อมูลเข้ามาจำนวนมาก ก็สามารถพัฒนาและเพิ่มเข้ามาในระบบได้เลย 

ดังนั้น การจ้างเขียนโปรแกรมจึงสามารถรองรับการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี ซึ่งแตกต่างจากการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่อาจมีข้อจำกัดในการปรับแต่งหรือขยายระบบต่าง ๆ นั่นเอง

ทั้งนี้ การจ้างเขียนโปรแกรมจะช่วยลดความจำเป็นในการเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมดในอนาคต เมื่อลดโอกาสที่จะต้องเปลี่ยนระบบใหม่ในอนาคตได้ ก็จะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อีกด้วย

ข้อเสียของการจ้างเขียนโปรแกรม

การจ้างเขียนโปรแกรมใช้งบประมาณสูงมาก

จ้างเขียนโปรแกรมมีราคาสูง เนื่องจากต้องใช้เงินทุนในการจ้างโปรแกรมเมอร์ ค่าออกแบบ ค่าทดสอบระบบ และค่าบำรุงรักษา ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านบาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของระบบ

การจ้างเขียนโปรแกรมใหม่ใช้ระยะเวลานานที่สุด เมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่น ๆ

การจ้างเขียนโปรแกรมอาจใช้เวลาตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 1 ปี โดยมีขั้นตอนตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการ ออกแบบ เขียนโค้ด ทดสอบ และปรับแก้ ซึ่งอาจทำให้ล่าช้าต่อการนำมาใช้งานกับธุรกิจ

การจ้างเขียนโปรแกรมต้องใช้ทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในการพัฒนา

การจ้างเขียนโปรแกรมจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการพัฒนาโปรแกรม เช่น ทีมโปรแกรมเมอร์ นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) นักออกแบบ UX/UI และผู้ทดสอบระบบ (QA Tester) ด้วยนั่นเอง

มีค่าใช้จ่ายในการจ้างเขียนโปรแกรมแล้ว ยังมีค่าบำรุงรักษาต่อเนื่องอีก

หลังจากเขียนโปรแกรมเสร็จและนำมาใช้งานจริงแล้วจำเป็นต้องมีทีมโปรแกรมเมอร์คอยดูแลและอัปเดตระบบอยู่อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงต้องแก้ไขข้อผิดพลาดและปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อให้รองรับกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อีกด้วย

ทั้งนี้ หากใช้งานไปโดยไม่มีคนคอยดูแลรักษาโปรแกรมของเรา อาจมีผู้ไม่หวังดี หรือ แฮกเกอร์ เข้ามาเจาะระบบและสร้างความเสียหายให้กับองค์กรได้ เพราะเทคนิคการแฮกข้อมูลมักมีการพัฒนาอยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องมีโปรแกรมเมอร์คอยปรับปรุงระบบให้มีความปลอดภัยและรู้เท่าทันกับกลโกงของแฮกเกอร์นั่นเอง

การจ้างเขียนโปรแกรมเหมาะกับธุรกิจแบบไหน ?

  • ธุรกิจที่มีปริมาณข้อมูลมากและต้องการระบบที่ซับซ้อน เช่น เว็บไซต์ E-commerce โปรแกรมที่ใช้ในบริษัทจัดหางาน ธนาคาร บริษัทประกันภัย
  • ธุรกิจที่ต้องการสร้างความแตกต่าง เช่น สตาร์ทอัพ หรือ ธุรกิจที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ

ซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป สำหรับโปรแกรมพื้นฐานของบริษัท ที่ต้องการความแม่นยำและใช้ทันที

ซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป คือ การซื้อ หรือ เช่าโปรแกรมที่ถูกพัฒนามาให้พร้อมใช้งานแล้ว โดยทั่ว ๆ ไปจะเป็นโปรแกรมพื้นฐานของบริษัทที่ทุก ๆ บริษัทต้องใช้เหมือน ๆ กันอยู่แล้ว เช่น โปรแกรม Payroll โปรแกรมบัญชี หรือ โปรแกรม Point of Sale

โดยจุดเด่นของการซื้อโปรแกรม นั่นคือ มีทีม Support ในการช่วยเหลือการใช้งานให้ด้วย แต่เนื่องจากเป็นโปรแกรมสำเร็จรูปจึงอาจจะไม่สามารถปรับแต่งได้เยอะเท่ากับการจ้างเขียนโปรแกรมโดยโปรแกรมเมอร์นั่นเอง

ตัวอย่างโปรแกรมสําเร็จรูปในงานธุรกิจ มีอะไรบ้าง ?

  • FlowAccount ระบบบัญชี หรือ payroll สำหรับองค์กรทั่ว ๆ ไป
  • Choco CRM ระบบสะสมแต้มสมาชิก
  • POSPOS ระบบ Point of Sale

ข้อดีของการซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป

ซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปแล้วสามารถเริ่มใช้งานได้ทันที

ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของการซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป คือ ความรวดเร็วในการใช้งาน เนื่องจากเมื่อซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาแล้ว ก็สามารถติดตั้งและเริ่มใช้งานได้แทบจะทันที ทำให้ช่วยตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแตกต่างจากการจ้างเขียนโปรแกรมและการทำ Low-Code ที่ใช้เวลามากกว่า

การซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปใช้งบประมาณน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่น ๆ

โดยทั่วไปแล้ว การซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการจ้างพัฒนาเองอย่างมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายมักอยู่ในรูปแบบของการสมัครสมาชิกรายเดือนหรือรายปี ทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างชัดเจน และไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม เช่น ค่าเซิร์ฟเวอร์ หรือ ค่าจ้างทีมพัฒนา ทำให้ช่วยลดภาระทางการเงินของธุรกิจ และทำให้สามารถนำงบประมาณไปใช้ในด้านอื่น ๆ ที่สำคัญกว่าได้

โปรแกรมสำเร็จรูปจะมีทีมสนับสนุนคอยดูแลตลอดการใช้งาน

เนื่องจากเมื่อซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาแล้ว ก็จะได้รับการสนับสนุนจากทีมงานของผู้พัฒนามาด้วย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยแก้ไขปัญหา ให้คำแนะนำ และตอบคำถามต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน ซึ่งการสนับสนุนนี้ อาจอยู่ในรูปแบบของคู่มือออนไลน์ คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เว็บบอร์ด อีเมล หรือ โทรศัพท์ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง หรือ ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญได้เมื่อจำเป็น

โปรแกรมสำเร็จรูปจะอัปเดตโปรแกรมอย่างสม่ำเสมอ

โปรแกรมสำเร็จรูปจะมีการอัปเดตโปรแกรมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ปรับปรุงประสิทธิภาพ และแก้ไขข้อผิดพลาด (Bug) ซึ่งผู้ใช้งานจะได้รับการอัปเดตเหล่านี้โดยอัตโนมัติ โดยการอัปเดตอัตโนมัตินี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้การอัปเดตล่าสุดอยู่เสมอ และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาความปลอดภัย หรือ ประสิทธิภาพที่อาจเกิดขึ้นจากโปรแกรมเวอร์ชันเก่า ทำให้ช่วยลดภาระในการดูแลและบำรุงรักษาระบบ และช่วยให้มั่นใจได้ว่าโปรแกรมจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยตลอดเวลา

ข้อเสียของการซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป

การซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมีข้อจำกัดในการปรับแต่ง

โปรแกรมสำเร็จรูปถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป ทำให้การปรับแต่งฟังก์ชันหรือฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจนั้นเป็นไปได้ยาก หรือ อาจทำไม่ได้เลย เนื่องจากโปรแกรมสำเร็จรูปมักมีฟีเจอร์และฟังก์ชันที่กำหนดไว้แล้ว การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโปรแกรม หรือ เพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ นอกเหนือจากที่โปรแกรมมีให้ อาจทำได้ยาก หรือ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการจ้างผู้พัฒนาโปรแกรมมาปรับแต่ง (Customization) ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน

โดยข้อจำกัดนี้ อาจส่งผลให้ธุรกิจต้องปรับตัวเข้าหาโปรแกรม ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง หรือ เกิดความยุ่งยากในการใช้งาน

การซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปอาจไม่ครอบคลุมต่อความต้องการในการใช้งาน

เนื่องจากโปรแกรมสำเร็จรูปถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานทั่วไป ทำให้ฟีเจอร์ที่มีอยู่อาจไม่ครอบคลุมความต้องการทั้งหมดของแต่ละธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีความเฉพาะตัวสูง เช่น โปรแกรมสำเร็จรูปนั้นอาจมีฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นสำหรับธุรกิจของคุณ หรือ ขาดฟีเจอร์ที่สำคัญต่อการทำงานไป ทำให้ต้องใช้หลายโปรแกรมร่วมกัน หรือ ต้องทำงานด้วยวิธี Manual เพื่อชดเชยฟีเจอร์ที่ขาดหายไป นั่นเอง

ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เกิดความยุ่งยากในการจัดการข้อมูล และเสียเวลาในการทำงานที่ซ้ำซ้อนมากขึ้น

การใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เหมาะกับธุรกิจแบบไหน ?

  • ธุรกิจที่ต้องการระบบบัญชีมาตรฐาน
  • ธุรกิจที่ต้องการระบบเงินเดือน (Payroll)
  • ธุรกิจร้านค้าที่ต้องการระบบ Point of Sale เพื่อจัดการออร์เดอร์หรือคิดเงิน

พัฒนาเองด้วย Low-Code Platform สำหรับระบบงานที่ไม่มีโปรแกรมสำเร็จรูปที่เหมาะสม หรือต้องการใช้งานในระบบงานเล็ก ๆ ของบริษัท

Low-Code Platform คือ แพลตฟอร์มที่ช่วยให้พนักงานที่ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์สามารถสร้างและปรับแต่ง Application ได้ด้วยตนเอง โดยใช้เครื่องมือที่มีอินเทอร์เฟซแบบลากและวาง (Drag and Drop)

ตัวอย่างโปรแกรม Low-Code มีอะไรบ้าง ?

  • AppSheet: เครื่องมือสร้าง Application แบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด เหมาะสำหรับใช้ในองค์กรต่าง ๆ โดยสามารถสร้างแอปสำหรับการใช้งานที่หลากหลายได้ เช่น การจัดการเอกสาร บัญชี ระบบจอง หรือ การเก็บข้อมูลต่าง ๆ
  • Webflow: เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ (Website Builder) ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถออกแบบเว็บไซต์ได้อย่างอิสระและสวยงามตามใจ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในการเขียนโปรแกรม 
  • Activepieces: เครื่องมือสร้าง Workflow อัตโนมัติโดยไม่ต้องเขียนโค้ด

ข้อดีของการทำ Low-Code

พัฒนาโปรแกรมด้วยการทำ Low-Code ใช้ระยะเวลาน้อยกว่า

เนื่องจากใช้เวลาในการพัฒนาเพียง 2-4 สัปดาห์เท่านั้น ด้วยการใช้เครื่องมือ Visual Interface ที่ใช้การลากและวาง (Drag-and-Drop) และ Component สำเร็จรูป หรือ พูดง่าย ๆ เลยคือ เป็นโปรแกรมที่มีเมนูต่าง ๆ ให้เลือกใช้ สามารถลาก วาง ปรับแต่งคุณสมบัติต่าง ๆ รวมถึงมี Template ให้เลือกใช้งานได้อย่างง่ายดาย และสามารถสร้าง Application ขึ้นมาได้โดยไม่ต้องใช้การเขียนโค้ดเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้ผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโปรแกรม สามารถสร้าง Application ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจได้อย่างทันท่วงที

การทำ Low-Code ใช้ต้นทุนต่ำกว่า

การทำ Low-Code ช่วยลดต้นทุนในหลายด้าน เช่น ค่าจ้างโปรแกรมเมอร์หรือทีมงาน  ค่าบำรุงรักษา เพราะการแก้ไขและปรับปรุง Application ที่สร้างด้วย Low-Code ทำได้ง่ายกว่า พนักงานที่ไม่มีความรู้เรื่องการเขียนโค้ดเลยก็สามารถทำได้ จึงไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการจ้างโปรแกรมเมอร์นั่นเอง

รวมถึง ค่าบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายด้าน Infrastructure ก็จะถูกลง เพราะบางแพลตฟอร์ม Low-Code ให้บริการบน Cloud ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดหาและดูแล Infrastructure โดยส่วนใหญ่จะคิดค่าบริการแบบเหมาจ่ายรายเดือน รวมถึงมีคนดูแล Infrastructure ต่าง ๆ ให้อยู่แล้ว

การทำ Low-Code สามารถลดการพึ่งพาทีมไอทีได้

เนื่องจากพนักงานสามารถสร้าง Application เองได้ ด้วยความง่ายในการใช้งานของแพลตฟอร์ม Low-Code ทำให้พนักงานในแผนกต่าง ๆ เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด หรือ ฝ่ายบุคคล สามารถสร้าง Application ง่าย ๆ เพื่อใช้ในงานของตนเองได้ และสามารถออกแบบระบบได้ตรงกับการใช้งานจริง โดยไม่ต้องพึ่งพาทีมไอที

ข้อเสียของการทำ Low-Code

การทำ Low-Code มีข้อจำกัดในการปรับแต่ง

ถึงแม้ Low-Code จะช่วยให้เราพัฒนา Application ได้ง่ายขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับข้อจำกัดในเรื่องของการปรับแต่ง เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มักมี Component และ Template สำเร็จรูปให้ใช้งานอยู่แล้ว ดังนั้น  การปรับแต่งให้เกินกว่าที่แพลตฟอร์มกำหนดไว้ จึงทำได้ยาก หรือ อาจทำไม่ได้เลย

การทำ Low-Code อาจมีปัญหาด้านความปลอดภัยของข้อมูล และประสิทธิภาพในการทำงาน

การพึ่งพาแพลตฟอร์มภายนอก อาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากข้อมูลจะถูกจัดเก็บและประมวลผลบนเซิร์ฟเวอร์ของแพลตฟอร์ม หากแพลตฟอร์มไม่มีมาตรการการรักษาความปลอดภัยที่ดีพอ ก็อาจมีความเสี่ยงที่ข้อมูลจะรั่วไหลหรือถูกโจมตีได้ นอกจากนี้ การควบคุมการเข้าถึงข้อมูลและการจัดการสิทธิ์ต่าง ๆ นั้นขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์ม

ทั้งยังมีเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจาก Application ที่สร้างด้วย Low-Code มักสร้างโค้ดแบบ General purpose ซึ่งอาจไม่ได้ Optimize สำหรับการใช้งานเฉพาะ ทำให้การทำงานช้าลง หรือ ใช้ทรัพยากรมากกว่าได้ โดยปัญหาเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้งาน และความน่าเชื่อถือของ Application

การทำ Low-Code ขาดความยืดหยุ่นในการขยายระบบในอนาคต

ถึงแม้ Low-Code จะช่วยให้พัฒนา Application ได้รวดเร็วในระยะเริ่มต้น แต่หากเทียบกับผลลัพธ์ในระยะยาว เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น และต้องการขยายระบบให้รองรับฟังก์ชันที่ซับซ้อนมากขึ้น หรือ เชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ การทำ Low-Code อาจมีข้อจำกัด โดยข้อจำกัดนี้อาจทำให้ต้องลงทุนในการพัฒนาระบบใหม่ทั้งหมดในอนาคต ซึ่งเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย

การทำ Low-Code เหมาะกับธุรกิจแบบไหน?

  • ธุรกิจที่ระบบงานยังไม่มีโปรแกรมสำเร็จรูปที่เหมาะสม
  • ธุรกิจที่ต้องการใช้งานในระบบงานเล็ก ๆ ของบริษัท เช่น ระบบจองห้องประชุม ระบบรายงานผลการปฏิบัติงาน ระบบติดตามคุณภาพเครื่องจักร หรือ ระบบติดตามสินค้าคงคลัง

ระบบงานแบบไหน ควรเลือกพัฒนาโปรแกรมอย่างไร?

เราแนะนำว่า ในหนึ่งบริษัทจะมีระบบงานที่ต่างกันไป จึงควรเลือกใช้การพัฒนาโปรแกรมให้เหมาะสมและแตกต่างกัน โดยมีตัวอย่างกรณีศึกษา และแนวทางการเลือกวิธีการพัฒนาโปรแกรม ดังนี้ 

การจ้างเขียนโปรแกรม เหมาะสำหรับระบบงานแบบไหน ?

การจ้างเขียนโปรแกรมเหมาะสำหรับธุรกิจที่มีระบบเทคโนโลยีเป็นหัวใจหลัก ต้องการความยืดหยุ่นสูง และมีงบประมาณมากเพียงพอ

ตัวอย่างกรณีศึกษาของธุรกิจที่เลือกจ้างเขียนโปรแกรม

ธุรกิจสตาร์ทอัพอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce Startup) ต้องการแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์เฉพาะทาง ต้องการระบบการชำระเงินที่ซับซ้อน การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าแบบละเอียด ระบบคลังสินค้าอัจฉริยะ และการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ จึงเลือกพัฒนาโปรแกรมด้วยการจ้างเขียนโปรแกรม เนื่องจากเหตุผล ดังนี้

  1. ธุรกิจหลักต้องพึ่งพาระบบเทคโนโลยี
  2. ต้องการความยืดหยุ่นสูงสุด
  3. มีความต้องการเฉพาะทางที่ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปไม่สามารถตอบสนองได้
  4. ต้องการความได้เปรียบในการแข่งขัน
  5. มีงบประมาณและทีมทางเทคนิคที่เพียงพอ

โดยมีผลที่คาดว่าจะได้รับ ได้แก่

  1. มีระบบที่ตอบโจทย์ธุรกิจอย่างครบถ้วน
  2. มีความสามารถในการขยายระบบในอนาคต
  3. มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน
  4. มีการควบคุมข้อมูลและความปลอดภัยขั้นสูงสุด
  5. มีประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือกว่า

การซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป เหมาะสำหรับระบบงานแบบไหน

การซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป เหมาะสำหรับระบบมาตรฐานทั่วไป ต้องการเริ่มใช้งานทันที และมีงบประมาณจำกัด

ตัวอย่างกรณีศึกษาของธุรกิจที่เลือกซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป

บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Consulting Firm) ขนาดกลาง ต้องการระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ที่สามารถบันทึกประวัติลูกค้า ติดตามการติดต่อ วิเคราะห์โอกาสทางการขาย และบริหารทีมงานขาย จึงเลือกพัฒนาโปรแกรมด้วยการซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูป Salesforce เนื่องจากเหตุผล ดังนี้

  1. เป็นระบบมาตรฐานสำหรับการจัดการลูกค้าสัมพันธ์
  2. ต้องการเริ่มใช้งานได้ทันที
  3. มีฟีเจอร์ครบถ้วนตามความต้องการพื้นฐาน
  4. มีทีมสนับสนุนและอัปเดตระบบอย่างต่อเนื่อง
  5. มีงบประมาณจำกัด
  6. ไม่ต้องการการปรับแต่งมาก

โดยมีผลที่คาดว่าจะได้รับ ได้แก่

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการติดตามลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
  2. ลดเวลาในการบริหารจัดการข้อมูล
  3. มีรายงานและการวิเคราะห์อัตโนมัติ
  4. ลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบ
  5. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

การทำ Low-Code เหมาะสำหรับระบบงานแบบไหน

การทำ Low-Codeเหมาะสำหรับระบบงานขนาดเล็ก ไม่ซับซ้อน ต้องการพัฒนาเร็ว และลดการพึ่งพาทีมไอที

ตัวอย่างกรณีศึกษาของธุรกิจที่เลือกทำ Low-Code

บริษัทผลิตเครื่องจักรอุตสาหกรรม (Manufacturing Tech Solutions) มีพนักงาน 200 คน กำลังประสบปัญหาในการติดตามประสิทธิภาพเครื่องจักร ต้องการระบบที่สามารถบันทึกข้อมูลการทำงานของเครื่องจักร ตรวจสอบสถานะการซ่อมบำรุง แจ้งเตือนเมื่อเครื่องจักรต้องได้รับการซ่อมแซม และรายงานประสิทธิภาพการทำงานได้ จึงเลือกพัฒนาโปรแกรมด้วยการใช้ Low-Code Platform อย่าง AppSheet เนื่องจากเหตุผล ดังนี้

  1. มีระบบติดตามเครื่องจักรไม่ซับซ้อนมาก
  2. ต้องการพัฒนาเร็วและประหยัดงบประมาณ
  3. มีทีมที่เข้าใจกระบวนการทำงานเป็นอย่างดี
  4. ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ฟังก์ชันพิเศษเฉพาะทาง
  5. ต้องการให้พนักงานฝ่ายผลิตสามารถอัปเดตข้อมูลได้เองอย่างง่ายดาย

โดยมีผลที่คาดว่าจะได้รับ ได้แก่

  1. สามารถลดเวลาในการบันทึกข้อมูลการทำงานของเครื่องจักรลงได้
  2. เพิ่มประสิทธิภาพการซ่อมบำรุง
  3. ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมฉุกเฉิน
  4. เพิ่มอายุการใช้งานของเครื่องจักร
  5. สามารถติดตามประสิทธิภาพได้แบบเรียลไทม์

มีคำถามสงสัยเพิ่มเติม ?

หากคุณสนใจเกี่ยวกับเรื่องที่เราเขียน สิ่งที่เราทำ และโครงการที่เราตั้งใจจะดำเนินงานในอนาคต คุณสามารถติดต่อพูดคุยกับเราได้

บทสรุป

การเลือกวิธีการพัฒนาโปรแกรมที่คุ้มค่ากับการลงทุนนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของธุรกิจ หากธุรกิจต้องการระบบที่ซับซ้อน มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการเฉพาะ และมีงบประมาณเพียงพอ การจ้างเขียนโปรแกรมโดยโปรแกรมเมอร์เป็นทางเลือกที่ดี แต่มีข้อเสียคือใช้เวลาและงบประมาณสูง รวมถึงต้องมีทีมผู้เชี่ยวชาญดูแลรักษา 

สำหรับธุรกิจที่ต้องการระบบมาตรฐานทั่วไป ใช้งานได้ทันที และมีงบประมาณจำกัด การซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปเป็นทางเลือกที่ประหยัด แต่มีข้อจำกัดในการปรับแต่งและอาจไม่ครอบคลุมความต้องการทั้งหมด 

หากเป็นองค์กรที่ต้องการความรวดเร็วในการพัฒนา ลดการพึ่งพาทีมไอที และมีระบบงานขนาดเล็ก ไม่ซับซ้อน การทำ Low-Code เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่มีข้อจำกัดในการปรับแต่ง ความปลอดภัย และความยืดหยุ่นในการขยายระบบในอนาคต ดังนั้น ควรพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละวิธี ลักษณะเฉพาะตัวของธุรกิจ และงบประมาณก่อนตัดสินใจลงทุนกับการพัฒนาโปรแกรมนั่นเอง