Feature-Do Things That Don't Scale@3x
Paul-Graham-original-article

Paul Graham อดีตผู้ก่อตั้ง Viaweb สตาร์ทอัพที่ขายให้ Yahoo ในราคาหลายล้านเหรียญ ได้ผันตัวเองมาทำกองทุน และโครงการบ่มเพาะที่ชื่อว่า Y Combinator ความพิเศษของ Y Combinator หรือ YC คือการมีเครือข่ายที่เป็นสตาร์ทอัพระดับตำนานอย่าง Dropbox, Stripe หรือ Airbnb มาเข้าร่วมโครงการ

ขอบคุณภาพต้นฉบับจาก เว็บไซต์ Paulgraham.com

จากผู้ที่มีประสบการณ์ในการบ่มเพาะสตาร์ทอัพมาแล้วมากมาย เขาได้ให้คำแนะนำกับสตาร์ทอัพหน้าใหม่ ในบล็อคส่วนตัวของเขา ว่า Do Things That Don’t Scale หรือแปลเป็นไทยคือ ทำสิ่งที่ไม่เติบโต ซึ่งในวันนี้ผู้เขียนจะมาขยายความสิ่งที่ Paul Graham พยายามจะสื่อให้ฟัง

บทความนี้สรุปใจความมาจากบทความต้นฉบับของ Paul Graham ในชื่อบทความว่า Do Things That Don’t Scale ที่เขียนมาตั้งแต่ 2013 แต่ใจความสำคัญยังคงมีประโยชน์กับการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันอยู่

หากผู้อ่านสนใจอ่านบทความต้นฉบับ ให้คลิกที่นี่

Do Things That Don’t Scale หรือ ทำสิ่งที่ไม่เติบโต หมายถึงอะไร?

หนึ่งความเข้าใจผิด ๆ ของผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพคือ

ถ้าคุณแค่สร้างกับดักหนูที่ดีกว่าของเดิมในตลาด คนก็จะแห่แหนเข้ามาซื้อของ ๆ คุณแล้ว

Ralph Waldo Emerson

แต่ในความจริงจากประสบการณ์ของ Paul Graham ธุรกิจสตาร์ทอัพมักจะไม่ค่อย “เติบโต” หรือ “Scale” ได้ด้วยตัวมันเอง จุดเริ่มต้นส่วนใหญ่มักจะมาจากความทะยานอยากของผู้ก่อตั้งเองซะมากกว่า คล้าย ๆ ว่าในช่วงแรกของการเริ่มธุรกิจ มันจะไม่มีแรงผลักอะไรเลย จนกว่าคุณจะผลักมันมากพอ แล้วหลังจากนั้นจะเกิดโมเมนตัมขึ้นมาเอง

ฉะนั้นช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดโมเมนตัม คือช่วงเวลาเริ่มต้นของสตาร์ทอัพที่ต้องเริ่มทำ สิ่งที่ไม่เติบโต

แล้วอะไรคือสิ่งที่ไม่เติบโตในการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ ?

1. ติดต่อหาลูกค้าทีละคน ๆ

Acquire-customer-by-yourself
Acquire customer by yourself

หนึ่งในกระบวนการที่ไม่เติบโตในการทำสตาร์ทอัพช่วงแรก ๆ คือการติดต่อลูกค้าทีละคน ๆ เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นได้ลองใช้สินค้าและบริการของเรา หรือแม้แต่การเสนอขายขั้นเริ่มต้น กับลูกค้าที่สนใจจะจ่ายเงินเพื่อลองใช้

ทำไมต้องติดต่อหาลูกค้าทีละคน ?

เหตุผลที่ Paul Graham แนะนำให้ติดต่อลูกค้าทีละคนเพราะ ไอเดียธุรกิจแรกที่คุณสร้างมักจะไม่ค่อยถูกต้องทั้งหมด (ถึงแม้ว่าคุณจะเจอปัญหานั้นมาเหมือนกันก็ตาม) คุณจำเป็นจะต้องได้ Feedback loop จากลูกค้าเยอะ ๆ และละเอียดมากพอ ที่จะเอาไปปรับปรุงสินค้า และบริการ ให้พร้อมสำหรับขายในตลาดที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับบริษัทใหญ่ที่จะได้ความเห็นของลูกค้าแบบตรง ๆ แบบที่สตาร์ทอัพสามารถทำได้ในช่วงแรก ๆ

โดย Paul Graham ยกตัวอย่างของ Stripe ที่ทำระบบ Payment สำหรับธุรกิจด้วยกัน ว่าในช่วงแรก พวกเขาหาลูกค้าอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเขาเจอลูกค้าที่สนใจจะลองใช้บริการของเขา ปกติคนอื่น ๆ ก็จะบอกว่า “เดี๋ยวทางเราจะส่งลิ้งค์ให้ดาวน์โหลดนะครับ” แต่กรณีของ Stripe คือขอคอมพิวเตอร์ของลูกค้า และลงให้ลองใช้เดี๋ยวนั้นเลย

การติดต่อหาลูกค้าทีละคน เป็นสิ่งที่ไม่เติบโต และน่าเบื่อ เพราะมันง่ายกว่ามากเลย ที่จะแค่สร้างโปรดักซ์ โดยการนั่งเขียนโปรแกรมอยู่ที่บ้าน มากกว่าจะออกไปหาลูกค้าซึ่งมีโอกาสที่จะถูกปฏิเสธ มากกว่าจะตอบรับ และมันช่างดูแตกต่างกับแนวคิดของสตาร์ทอัพมาก ๆ ที่ต้องทำแล้วเติบโตได้ ขยายผลได้หลาย 100 เท่า แต่ในช่วงแรกกลับต้องมาหาลูกค้าทีละคน ๆ แต่ Paul Graham เสริมว่า ถ้าคุณเริ่มมั่นใจแล้วจะขายยังไง ขายให้ใคร คุณค่อยเริ่มทำให้มันเป็นอัตโนมัติก็ได้ แต่ถ้ายังไม่มั่นใจ การค่อยติดต่อลูกค้าทีละคนจะช่วยให้คำตอบนี้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น

อีกกรณีศึกษานึงสำหรับธุรกิจที่เป็น Marketplaces ที่มีฝั่งผู้ซื้อ และผู้ขายอย่างธุรกิจ Airbnb ผู้ก่อตั้งใช้วิธีเคาะประตูตามบ้าน ติดต่อหาลูกค้าที่จะมาปล่อยบ้านให้เช่าทีละคน รวมถึงช่วยพวกเขาหาคนมาเช่าด้วย ตัว Paul Graham ถึงขนาดเล่าว่าสมัยที่ Airbnb มาบ่มเพาะที่ Y Combinator เขามักจะเห็นผู้ก่อตั้ง Airbnb พกถุงนอนมาตอนเจอกันเหมือนว่า เขาเพิ่งย้ายที่นอนมาจากที่อื่น เพื่อทดลองประสบการณ์การเป็นผู้ใช้เสียเอง

แล้วคุณจะหาลูกค้าได้ที่ไหน ?

  • ถ้าคุณสร้างสินค้า และบริการโดยอ้างอิงจากปัญหาตัวเอง คุณก็ควรจะเริ่มจากเพื่อน หรือคนรู้จักของคุณที่มีปัญหาคล้าย ๆ กัน ซึ่งพวกเขาย่อมเปิดใจที่จะลองใช้สินค้าและบริการของคุณง่าย ๆ ซึ่งทำให้คุณได้ Feedback ที่จะนำไปพัฒนาต่อไป
  • เริ่มหาลูกค้าแบบสุ่ม เหมือนตอน Pinterest ปล่อยเว็บไซต์ตัวเองตามเว็บต่าง ๆ แบบสุ่ม แล้วค่อยมาสังเกตว่ามีกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นนักออกแบบมากผิดปกติ เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมงานสัมนาการออกแบบและเริ่มหาลูกค้าเพิ่มที่นั่น

2. ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตั้งแต่แรก ๆ

deliver-great-customer-experience
Deliver great customer experience

การเอาใจลูกค้า การมีความตั้งใจจะช่วยเหลือลูกค้าตั้งแต่แรก ๆ มากเกิน ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่เติบโต เพราะเราไม่สามารถทำแบบนี้กับลูกค้าทุกคนได้

ทำไมต้องส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตั้งแต่แรก ๆ ?

ลูกค้าที่ประทับใจในบริการของเรา (ถึงแม้ว่า สินค้าตอนแรกจะห่วย) จะเป็นลูกค้าชั้นหนึ่งที่คอยช่วยเหลือธุรกิจเราให้เติบโตได้ง่ายขึ้นโดยข้อได้เปรียบของสตาร์ทอัพคือ ผู้ก่อตั้งสามารถให้ประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้าแบบนั้นได้ ไม่เหมือนบริษัทใหญ่ที่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ โดยไม่ขออนุญาตผู้ถือหุ้น

อย่างกรณีของ Wufoo ที่ส่งการ์ดเขียนด้วยลายมือให้กับผู้ใช้ใหม่ทุกคนในช่วงแรก ๆ ของการทำธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจ

สตาร์ทอัพหลาย ๆ กลุ่มที่ Y Combinator มองว่าการบริการลูกค้า เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น หรืออีกหลาย ๆ เรื่อง ที่ต้องทำเพื่อให้ลูกค้ายอมซื้อสินค้า

ในบางกรณี Paul Graham ก็แนะนำให้สตาร์ทอัพทำตัวเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้า และทำสินค้านั้นเหมือนทำมาเพื่อลูกค้าคนเดียวไปเลย แล้วคุณค่อยปรับแต่งจนมันสามารถใช้งานกับคนอื่นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรทำ การเก็บเงินกับลูกค้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ เพราะเมื่อลูกค้าจ่ายเงิน เขาก็หวังจะให้สตาร์ทอัพทำให้ทุกอย่างเหมาะกับเขา จนกลายเป็นแค่การ Customize จนเกินไป


3. สร้างสินค้า หรือบริการต้นแบบ (Minimum Viable Product) ด้วยตัวเอง

create-prototype-by-yourself
create prototype by yourself

Pebble เป็น Hardware start up (Meraki) ที่ในช่วงแรก เริ่มต้นสร้าง Router 100 ชิ้นแรกด้วยตัวเองเพื่อให้ลูกค้าใช้ (ก่อนจะไประดมทุนเพิ่มเติมที่ Kick Starter) เพราะข้อจำกัดเรื่องการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในโรงงานที่ต้องสั่งผลิตทีละเยอะ ๆ ซึ่งต้องใช้เงินมหาศาล

ในช่วงแรก Pebble จึงเริ่มสร้าง Prototype แบบง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้เขาได้ Feedback loop จากลูกค้าเริ่มต้น แทนที่จะลงเงินมากมายไปกับการผลิตสินค้าในโรงงาน ที่ไม่รู้ว่าจะมีคนซื้อจริง ๆ รึป่าว

และถ้าคุณไม่ได้อยู่อุตสาหกรรมที่มีบทลงโทษหนักหนาหากทำผิดพลาด เช่นอุตสาหกรรมยา คุณก็ไม่ควรคาดหวังความสมบูรณ์แบบมากนัก แค่ให้สร้างสินค้าต้นแบบที่สามารถทำงานบางอย่างได้ที่ตอบโจทย์กับลูกค้าก็เพียงพอ


ทำสิ่งที่ไม่เติบโต แล้วมันจะเป็นรากฐานให้คุณเติบโตอย่างมีคุณภาพ

การทำสิ่งที่ไม่เติบโตในตอนแรก เหมือนการสุมไฟในการก่อกองไฟใหม่ เมื่อคุณมีเชื้อไฟที่สุมจนนานพอ ไฟก็จะติดได้ง่าย และให้ความร้อนได้นาน แต่การทำสิ่งที่ไม่เติบโตในสตาร์ทอัพยังเป็นการสร้างวัฒนกรรมองค์กรที่ดีของการใส่ใจต่อลูกค้า ซึ่งเป็นปัจจัยของการสร้างนวัตกรรมต่อ ๆ ไปในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มว่าถ้าคุณเริ่มทำมันตั้งแต่แรก มันจะอยู่กับองค์กรของคุณตลอดไป


ขอบคุณบทความต้นฉบับ จาก do things that don’t scale