เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางระบบพัฒนาไปได้เรื่อย ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง และง่ายต่อการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ แต่บางระบบทำไม่ได้แบบนั้น ? 🤔
คุณกานต์ ตำแหน่ง Data Product Developer & Technical Enabler จาก ODDS-TEAM จะชวนทุกคนมาขบคิดเรื่อง “Designing Data+AI System that last” ว่าจะทำยังไงให้ระบบที่เราสร้างทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และธุรกิจที่เปลี่ยนไปทุกวัน
บทความนี้เป็นการสรุป Session Designing Data+AI System That Last ในงาน Data+AI Data 2025: Empowering Intelligence
3 ทักษะสำคัญในการพัฒนา Software อย่างยั่งยืน
1. Translating Business Driver into Architecture Decision
เปลี่ยน Business Requirement ให้เป็น Software Requirement ซึ่งเหมือนกับการสร้างบ้าน – ไม่ใช่แค่รู้ว่า “อยากได้บ้าน” แต่ต้องรู้ว่าอยากได้บ้านแบบไหนระหว่าง บ้านริมทะเล กับ บ้านชานเมือง เพราะแบบแปลนของบ้านสองแบบนี้มีข้อกำหนดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง:
บ้านริมทะเล 🏖️
- ต้องใช้วัสดุทนต่อการกัดเซาะของน้ำเค็ม
- ต้องมีฐานรากที่แข็งแรงรับแรงคลื่น
- ต้องมีระบบระบายน้ำที่ดี
บ้านชานเมือง 🏡
- เน้นความสะดวกสบาย ความเป็นส่วนตัว
- ไม่ต้องลงทุนกับระบบกันน้ำทะเลราคาแพง
- เน้นพื้นที่ใช้สอยและการจอดรถ
หากเชื่อมโยงกับการพัฒนา Software โดยปกติการพัฒนา Software ให้ใช้งานได้เราต้องเข้าใจ 2 มิติของความต้องการ:
Functional Requirements คุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็น
Functional Requirements คือ สิ่งที่ระบบ “ทำได้” เป็นฟีเจอร์ที่ผู้ใช้งานเห็นและใช้งานโดยตรง
ตัวอย่าง Functional Requirements
- ผู้ใช้สามารถ Login/Logout ได้
- แสดงรายการสินค้าพร้อมราคา
- เพิ่มสินค้าใส่ตะกร้าได้
คล้ายกับ: บ้านต้องมีประตู หน้าต่าง ห้องนอน ห้องน้ำ
Functional Requirements ตอบคำถาม: “ระบบต้องทำอะไรได้บ้าง?”
Non-Functional Requirements คุณสมบัติของระบบที่ควรจะเป็น
Non-Functional Requirements คือ สิ่งที่ระบบ “เป็น” เป็นคุณภาพและลักษณะการทำงานของระบบ เป็นคุณสมบัติเฉพาะที่มักถูกมองข้าม แต่สำคัญต่อการทำให้ Software ยืนระยะการทำงานได้นาน ทำให้ระบบของเรา
- เมื่อถูกแฮกก็กู้คืนได้ง่าย
- เมื่อผู้ใช้งานมากขึ้นระบบยังทำงานได้เร็วเหมือนเดิม
คล้ายกับ: บ้านต้องทนทานต่อแผ่นดินไหว, ตั้งอยู่ได้นาน 50 ปี, เก็บเสียงได้ดี
Non-Functional Requirements ตอบคำถาม: “ระบบต้องทำงานอย่างไรให้ดี?”
Common Non-Functional Characteristics ที่ควรรู้:
รายการ Non-functional characteristics ที่ควรคำนึงถึง
1. Performance (ประสิทธิภาพ)
ระบบทำงานได้เร็วแค่ไหน ใช้ทรัพยากรเท่าไหร่ ?
ตัวอย่าง:
- API ตอบกลับภายใน 200ms
- ประมวลผล 1 ล้านรายการต่อวินาที
ความสำคัญ:
- User Experience: ผู้ใช้ไม่ต้องรอ → พึงพอใจมากขึ้น
- ต้นทุน: ประมวลผลเร็ว = ใช้ Server น้อยลง = ค่าใช้จ่ายต่ำลง
- Revenue: Amazon พบว่าระบบช้าขึ้น 100ms → ยอดขายลด 1%
2. Scalability (ความสามารถในการขยายตัว)
ระบบรองรับผู้ใช้งานหรือข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้ดีแค่ไหน ? โดยไม่ทำให้ช้าลง
รูปแบบการ Scaling หรือการขยายประสิทธิภาพมี 2 แบบใหญ่ ๆ ดังนี้
- Horizontal Scaling: เพิ่มจำนวน Server (เหมือนเพิ่มคนทำงาน)
- Vertical Scaling: อัพเกรด Server (เหมือนทำให้คนทำงานเก่งขึ้น)
ตัวอย่าง: ระบบรองรับผู้ใช้จาก 1,000 เป็น 1 ล้านคนได้ไหม
ความสำคัญ:
- ธุรกิจเติบโต → ลูกค้าเพิ่มขึ้น → ระบบต้องรับได้
- ถ้าไม่สามารถ Scale ได้ → ต้องเขียนระบบใหม่ทั้งหมด
3. Data Integrity (ความถูกต้องของข้อมูล)
ข้อมูลถูกต้อง สมบูรณ์ ไม่มีการสูญหายหรือเสียหายหรือไม่ ? เมื่อเกิดปัญหา
ตัวอย่าง: ยอดเงินในบัญชีต้องตรงทุกครั้ง, Transaction ต้องไม่หาย
เทคนิค: Database Constraints, Validation, ACID Properties
4. Data Consistency (ความสอดคล้องของข้อมูล)
ข้อมูลในระบบต่าง ๆ สอดคล้องกันครบถ้วยมั้ย ?
โดยรูปแบบการจัดการความสอดคล้องของข้อมูลอาจจะมองได้ใน 2 มุมดังนี้
- Strong Consistency: ข้อมูลอัพเดททันทีทุกที่ (เหมาะกับธนาคาร)
- Eventual Consistency: ข้อมูลจะสอดคล้องในที่สุด (เหมาะกับ Social Media)
ตัวอย่าง: โพสต์ Facebook อาจใช้เวลากระจายไปทุก Server
5. Availability (ความพร้อมใช้งาน)
ระบบทำงานได้ตลอดเวลา มี Downtime น้อย
โดยอาจจะกำหนดเป็น Service Level Agreement (SLA) เมื่อเกิดปัญหา ต้องสามารถกลับมาใช้ได้ตามเงื่อนไข ไม่งั้นจะส่งผลเสียต่อธุรกิจ เช่น
- 99.9%: ระบบใช้งานไม่ได้ไม่เกิน 8.76 ชั่วโมงต่อปี
- 99.99%: ระบบใช้งานไม่ได้ไม่เกิน 52 นาทีต่อปี
6. Fault Tolerance (ความทนทานต่อความผิดพลาด)
ระบบยังทำงานได้แม้บางส่วนพังหรือไม่ ?
ตัวอย่าง: Server 1 ตัวล่ม ระบบยังใช้ได้ผ่าน Server อื่น
เทคนิค: Redundancy, Backup Systems, Circuit Breaker
7. Responsiveness (การตอบสนอง)
ระบบตอบกลับผู้ใช้เร็วแค่ไหนโดยวัดจากความรู้สึกผู้ใช้ซึ่งไม่จำเป็นต้องแก้ไขที่เรื่อง Performance อย่างเดียว
ตัวอย่าง: กดปุ่มแล้วเห็น Loading ทันที
8. Elasticity (ความยืดหยุ่นของทรัพยากร)
ปรับทรัพยากรอัตโนมัติตามความต้องการ
ตัวอย่าง: ช่วงเทศกาลมีคนใช้เยอะ เพิ่ม Server อัตโนมัติ, กลางคืนลดลง ก็ลด Server
ประโยชน์: ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่จ่ายเกินความจำเป็น
9. Testability (ความสะดวกในการทดสอบ)
ระบบสามารถเขียน Test ง่าย หา Bug เจอเร็ว
ตัวอย่าง: Code แยกส่วนดี, Mock ได้ง่าย, CI/CD Pipeline ครบ
ประโยชน์: Deploy มั่นใจ Bug น้อย
10. Recoverability (การกู้คืนระบบ)
กู้ระบบกลับมาใช้ได้เร็วแค่ไหนเมื่อเกิดปัญหา ?
โดยมีตัวแปรที่เราให้ความสนใจดังนี้
- RTO (Recovery Time Objective): เวลาที่ยอมให้ระบบดับได้
- RPO (Recovery Point Objective): ข้อมูลสูญหายย้อนหลังได้นานแค่ไหน
ตัวอย่าง: Backup ทุกชั่วโมง กู้คืนได้ภายใน 15 นาที
11. Adaptability (ความสามารถในการปรับตัว)
แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ได้ง่ายแค่ไหน ?
ตัวอย่าง: เปลี่ยน AI Model ใหม่ไม่ต้องแก้ทั้งระบบ
เทคนิค: Modular Design, Plugin Architecture
12. Extensibility (ความสามารถในการขยายฟีเจอร์)
ระบบสามารถเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ โดยไม่กระทบของเดิมได้หรือไม่ ?
ตัวอย่าง: เพิ่ม Payment Method ใหม่ ไม่ต้องแก้ Core System
เทคนิค: Design Pattern: Open/Closed Principle
13. Interoperability (การทำงานร่วมกับระบบอื่น)
ระบบเชื่อมต่อกับ Service อื่น ๆ ได้ง่ายแค่ไหน ?
ตัวอย่าง: รองรับ REST API, GraphQL, Message Queue
ประโยชน์: Integrate กับระบบภายนอกได้รวดเร็ว
14. Concurrency (การทำงานพร้อมกัน)
จัดการ Request หลาย ๆ อันพร้อมกันได้มากแค่ไหน ?
ตัวอย่าง: 1,000 คนกดซื้อสินค้าชิ้นเดียวกันพร้อมกัน ต้องไม่ขายเกิน Stock
เทคนิค: Locking, Queue, Event-driven Architecture
15. Deployability (ความสะดวกในการ Deploy)
สามารถปล่อยระบบขึ้น Production ง่ายและปลอดภัยแค่ไหน ?
ตัวอย่าง: Deploy ได้วันละหลายรอบ, Rollback ได้ทันที
เทคนิค: CI/CD, Blue-Green Deployment, Canary Release
16. Configurability (การตั้งค่าได้)
เปลี่ยนพฤติกรรมระบบผ่าน Config ได้ ไม่ต้อง Deploy ใหม่ได้มั้ย ?
ตัวอย่าง: เปลี่ยน Timeout, API Key, Feature Flag
ประโยชน์: ปรับแต่งได้เร็ว ไม่ต้องรอ Deploy
2. Evaluating Trade-offs and Making Informed Choices
การพัฒนา Software มี Trade-offs เสมอ (ข้อแลกเปลี่ยน) เสมอ อย่างเช่น
- เลือกความเร็ว → อาจเสียความปลอดภัย
- เลือกความยืดหยุ่น → อาจเสียความเรียบง่าย
- เลือกประหยัดต้นทุน → อาจเสีย Performance
คำถามสำคัญคือเราจะรู้ได้ยังไงว่าควรเลือกอะไร?
ควรใช้ Apache Airflow หรือ N8N?
| เครื่องมือ | ข้อดี | ข้อเสีย |
|---|---|---|
| Apache Airflow | เหมาะกับ Data Pipeline ซับซ้อน Scalable มาก รองรับ Task หลักหมื่นรายการ | Setup ยาก ต้องมีความรู้ Python Resource-intensive ต้องใช้ Server แรง |
| N8N | ใช้งานง่าย มี UI แบบ Drag-and-Drop Setup เร็ว เหมาะกับทีมเล็ก | Scalability ต่ำ |
คำตอบขึ้นอยู่กับ:
- ทีมมีความรู้ Python มากแค่ไหน?
- Pipeline ซับซ้อนขนาดไหน?
- งบประมาณ Infrastructure เท่าไหร่?
ไม่ว่าจะคำถามไหน ก็ไม่คำตอบตายตัว ขึ้นอยู่กับบริบทและการให้ความสำคัญ แต่หลาย ๆ ครั้งเราพบว่า เราเลือกได้ไม่ชัดเจน เพราะเราไม่แน่ใจว่าต้องพิจารณาในมุมไหนบ้าง หรือเราในฐานะผู้พัฒนามีข้อจำกัดอะไรบ้าง (เวลา ทรัพยากร)
Model สำหรับเปรียบเทียบและตัดสินใจทาง Technical
หากจะต้องเลือก Technology ที่ต้องใช้ในการพัฒนาระบบ ควรคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้
1. Performance (ประสิทธิภาพ)
วัดประสิทธิภาพผ่าน Throughput, Latency และ Resource Usage
ตัวอย่าง:
- Apache Kafka: ส่งข้อความได้ล้านต่อวินาที
- Redis: อ่านข้อมูลเร็วมาก (< 1ms)
คำถามประกอบการตัดสินใจ: ระบบต้องการความเร็วขนาดไหน?
2. Scalability (การขยายตัว)
เทคโนโลยีรองรับ Horizontal หรือ Vertical Scaling แค่ไหน ?
ตัวอย่าง:
- MongoDB: Scale แนวนอนง่าย (Sharding)
- PostgreSQL: Scale แนวตั้งดีกว่า แต่ Scale แนวนอนยาก
คำถามประกอบการตัดสินใจ: คาดการณ์การเติบโตอย่างไร? (10x, 100x, 1000x?)
3. Data Model (โครงสร้างข้อมูล)
Technology นั้นเหมาะกับการเก็บข้อมูลอย่างไรระหว่าง Relational vs NoSQL vs Graph ?
ตัวอย่าง:
- PostgreSQL: ดีสำหรับข้อมูลที่มี Relationship ซับซ้อน
- MongoDB: เหมาะกับข้อมูลที่โครงสร้างเปลี่ยนบ่อย
- Neo4j: เหมาะกับ Graph Data (Social Network)
คำถามประกอบการตัดสินใจ: ข้อมูลมีลักษณะอย่างไร? มี Relationship ซับซ้อนไหม?
4. Integration (การเชื่อมต่อ)
Service หรือ Technology นั้นมี API Support, Protocol, Connector สำหรับระบบของเราหรือไม่ ?
ตัวอย่าง:
- Apache Airflow: มี Operator เชื่อมต่อหลากหลาย
- Custom Solution: ต้องเขียน Integration เอง
คำถามประกอบการตัดสินใจ: ต้องเชื่อมต่อกับระบบอะไรบ้าง?
5. High Availability (ความพร้อมใช้งานสูง)
การจัดการเรื่องการทำงานกรณีระบบมีปัญหา
ตัวอย่าง:
- AWS RDS: Multi-AZ Automatic Failover
- Self-hosted: ต้องจัดการเอง
คำถามประกอบการตัดสินใจ: ยอมให้ระบบดับได้นานแค่ไหน?
6. Operation Complexity (ความซับซ้อนในการดูแล)
เมื่อต้องมาดูแล หรือใช้งานจริงมีความซับซ้อนมากแค่ไหนตั้งแต่การ Setup, Monitoring, Maintenance และ Troubleshooting
ตัวอย่าง:
- Managed Service (AWS Lambda): ดูแลง่าย แต่ค่าใช้จ่ายสูง
- Self-hosted (Kubernetes): Flexible แต่ซับซ้อน
คำถามประกอบการตัดสินใจ: Team มีทักษะและเวลาดูแลเองไหม?
7. Cost (ค่าใช้จ่าย)
มีค่าใช้จ่ายในการใช้งาน Service หรือ Technology นั้นยังไงบ้าง ? เช่นค่า License, Infrastructure หรือ Human Resource ในการดูแลระบบ
ตัวอย่าง:
- Open Source: ไม่มีค่า License แต่มีค่าบำรุงรักษา
- Enterprise License: มีค่า License แต่ได้ Support
- Cloud Managed: จ่ายตามใช้งาน (Pay-as-you-go)
คำถามประกอบการตัดสินใจ: มี Budget เท่าไหร่? ต้องจ่ายล่วงหน้าหรือจ่ายตามใช้จริง ถึงจะคุ้มค่ากว่า ?
8. Community Support (ชุมชนและการสนับสนุน)
มี Documentation, Forum หรือ Tutorial ที่ง่ายต่อการศึกษาแค่ไหน ?
ตัวอย่าง:
- React: Community ใหญ่ หา Solution ง่าย
- Library ใหม่: Documentation น้อย ต้องลองผิดลองถูก
คำถามประกอบการตัดสินใจ: หา Solution แก้ปัญหาง่ายไหม? มี Expert ช่วยได้ไหม?
ตัวอย่างการเปรียบเทียบ: Apache Airflow vs N8N
| Criteria | Apache Airflow | N8N |
|---|---|---|
| Performance | จัดการ Workflow ซับซ้อน ขนาดใหญ่ได้ดี | เหมาะกับงานขนาดกลาง-เล็ก |
| Scalability | Scale ได้ดีมาก | จำกัด |
| Data Model | N/A | N/A |
| Integration | Operator เยอะมาก (1000+) | Integration พื้นฐานครบ |
| High Availability | N/A | N/A |
| Operation Complexity | ซับซ้อน ต้องมีทักษะ | Setup ง่าย |
| Cost | Open Source + Infrastructure Cost | Open Source + Infrastructure Cost |
| Community Support | Community ใหญ่มาก Documentation ครบ | Community กำลังเติบโต |
สรุป: Airflow เหมาะกับงานใหญ่ซับซ้อน, N8N เหมาะกับ Team เล็กต้องการความง่าย
3. Expanding Technical Breadth While Keeping Sufficient Depth
ขยายความรู้กว้างทางเทคนิค พร้อมรักษาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
Expanding knowledge to see more solutions to the problem
เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้ดีที่สุด หากรู้จักทางแก้เพียงวิธีเดียวที่ถนัด การมีความรู้หลากหลายช่วยให้เห็นทางเลือกและแนวทางแก้ปัญหาได้มากขึ้น
Key Takeaway
ออกแบบระบบ Data+AI ที่ดี ไม่ใช่แค่เลือก Technology ที่ Hot ที่สุด แต่คือการ
- เข้าใจ Business Requirement แบบลึกซึ้ง
- ชั่งน้ำหนัก Trade-offs อย่างรอบคอบ
- เปิดใจเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
![[Review] Designing Data+AI System That Last ในงาน Data+AI Day 2025: Empowering Intelligence](https://datayolk.net/wp-content/uploads/2025/10/DA2025-1-1024x478.webp)



![[Workshop] สร้าง History Log แอป ฯ บันทึกการแก้ไขข้อมูลด้วย AppSheet](https://datayolk.net/wp-content/uploads/2025/06/Feature-OG-AppSheet-log-360x180.webp)